

ไพ่ทาโรต์
ไพ่ทาโรต์ หรือ แทโรต์ เป็นไพ่ชนิดหนึ่ง เป็นที่รู้จักตั้งแต่ พุทธศตวรรษที่ 20 แต่ลักษณะไพ่ไม่เหมือนในปัจจุบัน กระทั่งพุทธศตวรรษที่ 23 ในทวีปยุโรปนั้นไพ่ทาโรต์แพร่หลายในรูปแบบของเกมการละเล่น เช่น tarocchini และ tarot แต่ในพื้นที่ซึ่งอยู่ภายใต้อิทธิพลของภาษาอังกฤษนั้นเป็นที่รู้จักในฐานะเครื่องมือในการทำนายโชคชะตามากกว่า ไพ่ทาโรต์แบบที่รู้จักกันแพร่หลายที่สุดคือ Rider-Waite ซึ่งวาดโดย พาเมลา โคลแมน สมิธ (Pamela Colman Smith) ตามการออกแบบของ อาเธอร์ เอ็ดเวิร์ด เวท (Arthur Edward Waite) และเผยแพร่โดยบริษัทไรเดอร์ (Rider Company) ในเดือนธันวาคม พ.ศ. 2452 แต่ก็มีไพ่ทาโรต์รูปแบบอื่นๆซึ่งมีชื่อเสียงอยู่ด้วยเช่นกัน เช่น ธอธทาโรต์ (Thoth tarot) ซึ่งวาดโดย ฟรีดา แฮริส (Frieda Harris) และออกแบบโดย อเลสเตอร์ โครวลีย์ (Aleister Crowley)
ไพ่จะมีลักษณะคล้ายกับไพ่ป๊อกที่ใช้เล่นกันตามปัจจุบัน แต่แยกออกเป็น 2 ชนิด คือ สำรับใหญ่ (Major Arcana) ซึ่งประกอบด้วยไพ่ 22 ใบ และสำรับเล็ก (Minor Arcana) 56 ใบ ไพ่แต่ละใบมีสัญลักษณ์ประจำ การอ่านไพ่ขึ้นอยู่หลายปัจจัย อย่างแรก ดูจากความหมายของสัญลักษณ์ของตัวไพ่ และอีกประการหนึ่งคือ อ่านรวมกับไพ่ใบอื่นโดยดูจากตำแหน่งของไพ่ ไพ่ทาโรต์มีหลายแบบและได้รับความนิยม เนื่องจากความไม่ยุ่งยากในการอ่านไพ่ที่มีสัญลักษณ์บอกความหมายอยู่แล้ว ในประเทศไทยส่วนใหญ่คุ้นเคยที่จะเรียก “ไพ่ทาโรต์” ว่า “ไพ่ยิปซี” โดยอิงตามความเชื่อที่ว่าชาวยิปซีเป็นผู้เผยแพร่ศาสตร์ประเภทนี้ ทว่าไพ่ทั้งสองกลุ่มจัดเป็นไพ่คนละประเภทกั ลักษณะของไพ่ ไพ่ทาโร่ต์ Raider-Waite ซึ่งเป็นรูปแบบที่แพร่หลายที่สุด แบ่งออกเป็น ชุดใหญ่ หรือ เมเจอร์อาคาน่า 22 ใบ และ ชุดย่อย หรือ ไมเนอร์อาคาน่า 56 ใบ อย่างไรก็ตาม ไพ่ทารอทบางชุดอาจมีจำนวนและรูปแบบของไพ่ที่แตกต่างออกไป บางครั้งศิลปินจะวาดเพียงไพ่เมเจอร์อาคาร์นาเท่านั้น
ผู้ทำนายไพ่ทาโรต์ที่มีชื่อเสียงได้แก่ มารี อาน อาเดอเลด เลอนอร์มองด์ (Marie-Anne Adelaide Lenormand) เกิดในฝรั่งเศส ปี พ.ศ. 2315 เธอมีความสามารถพิเศษหลายประการในการทำนายได้อย่างแม่นยำ ความสามารถในการทำนายไพ่ของเธอ ทำให้เธอได้เป็นที่ปรึกษาของจักรพรรดินีโฌเซฟีน (Josephine) เธอทำนายเหตุการณ์สำคัญๆหลายเหตุการณ์ได้อย่างแม่นยำและตรง เธอร่ำรวยและเป็นคนที่ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เธอเสียชีวิตในปี พ.ศ. 2386 เร็วกว่าที่เธอทำนายไว้ เธอทำนายไว้ว่าการตายของเธอเกี่ยวพันกับการมาของนกจำพวกกา แต่เธอตายด้วยโรคหัวใจวายหลังจากเห็นนกพิราบบินเข้ามาในห้อง เนื่องจากสายตาไม่ดีจึงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นนกกากรส่วนใหญ่ในหลายประเทศ รวมทั้ง สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลีย ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ และประเทศในแคริบเบียน พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่หนึ่ง ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ที่มีผู้พูดมากที่สุดเป็นอันดับสามของโลก รองจากภาษาจีนกลางและภาษาสเปน มักมีผู้เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองอย่างกว้างขวาง และภาษาอังกฤษเป็นภาษาราชการของสหภาพยุโรป หลายประเทศเครือจักรภพแห่งชาติ และสหประชาชาติ ตลอดจนองค์การระดับโลกหลายองค์การ
ภาษาอังกฤษเจริญขึ้นในราชอาณาจักรแองโกล-แซ็กซอนอังกฤษ และบริเวณสกอตแลนด์ตะวันออกเฉียงใต้ในปัจจุบัน หลังอิทธิพลอย่างกว้างขวางของบริเตนใหญ่และสหราชอาณาจักรตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 17 จนถึงกลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 ผ่านจักรวรรดิอังกฤษ และรวมสหรัฐอเมริกาด้วยตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 20 ภาษาอังกฤษได้แพร่หลายทั่วโลก กลายเป็นภาษาชั้นนำของวจนิพนธ์ระหว่างประเทศและเป็นภาษากลางในหลายภูมิภาค ในประวัติศาสตร์ ภาษาอังกฤษกำเนิดจากการรวมภาษาถิ่นหลายภาษาที่สัมพันธ์อย่างใกล้ชิด ซึ่งปัจจุบันเรียกรวมว่า ภาษาอังกฤษเก่า ซึ่งผู้ตั้งนิคมนำมายังฝั่งตะวันออกของบริเตนใหญ่เมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 5 คำในภาษาอังกฤษจำนวนมากสร้างขึ้นบนพื้นฐานรากศัพท์ภาษาละติน เพราะภาษาละตินบางรูปแบบเป็นภาษากลางของคริสตจักรและชีวิตปัญญาชนยุโรป ภาษาอังกฤษยังได้รับอิทธิพลเพิ่มจากภาษานอร์สเก่าเพราะการบุกครองของไวกิ้งในคริสต์ศตวรรษที่ 9 และ 10 การพิชิตอังกฤษของชาวนอร์มันในคริสต์ศตวรรษที่ 11 ทำให้ภาษาอังกฤษยืมคำมาจากภาษานอร์มันอย่างมาก และสัญนิยมคำศัพท์และการสะกดเริ่มให้ลักษณะความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับกลุ่มภาษาโรมานซ์ แก่ภาษาที่ต่อมากลายเป็นภาษาอังกฤษกลาง การเลื่อนสระครั้งใหญ่ (Great Vowel Shift) ซึ่งเริ่มขึ้นทางตอนใต้ของอังกฤษในคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นหนึ่งในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ซึ่งเป็นเครื่องหมายของการกำเนิดของภาษาอังกฤษใหม่จากภาษาอังกฤษกลาง
เนื่องจากการกลมกลืนคำจากภาษาอื่นมากมายตลอดประวัติศาสตร์ ภาษาอังกฤษใหม่จึงมีคำศัพท์ใหญ่มาก โดยมีการสะกดที่ซับซ้อนและไม่สม่ำเสมอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสระ ภาษาอังกฤษใหม่ไม่เพียงแต่กลมกลืนคำจากภาษาอื่นของยุโรปเท่านั้น แต่ยังรวมภาษาอื่นทั่วโลกด้วย พจนานุกรมภาษาอังกฤษ ฉบับออกซฟอร์ดแสดงรายการคำไว้กว่า 250,000 คำ ซึ่งยังไม่รวมศัพท์เทคนิค วิทยาศาสตร์และสแลงภาษาอังกฤษใหม่ ที่บางครั้งมีผู้อธิบายว่าเป็นภาษากลางภาษาแรกของโลก เป็นภาษาที่ใช้กันมากที่สุดหรือในบางกรณี เป็นภาษาระหว่างประเทศที่ต้องใช้ในการสื่อสาร วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ ธุรกิจ การเดินเรือ การบิน การบันเทิง วิทยุและการทูต ภาษาอังกฤษเริ่มแพร่ออกนอกหมู่เกาะอังกฤษจากการเติบโตของจักรวรรดิอังกฤษ และเมื่อถึงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 ภาษาอังกฤษก็ไปทั่วโลกอย่างแท้จริง หลังการยึดอาณานิคมของอังกฤษตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 16 ถึง 19 ภาษาอังกฤษได้กลายเป็นภาษาเด่นในสหรัฐอเมริกา แคนาดา ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ อิทธิพลทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐอเมริกาและสถานภาพอภิมหาอำนาจตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองยิ่งเร่งการแพร่ของภาษาไปทั่วโลก ภาษาอังกฤษเป็นภาษาเด่นของผู้ได้รับรางวัลโนเบลทางวิทยาศาสตร์แทนภาษาเยอรมันในช่วงครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 20 ภาษาอังกฤษเป็นภาษาเด่นเทียบเท่าและอาจแซงหน้าภาษาฝรั่งเศสในทางการทูตตั้งแต่ครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 ความรู้ภาษาอังกฤษในการปฏิบัติงานกลายเป็นสิ่งจำเป็นในหลายสาขา อาชีพและวิชาชีพ เช่น แพทยศาสตร์และวิชาการคอมพิวเตอร์ ผลคือ กว่าหนึ่งพันล้านคนสามารถพูดภาษาอังกฤษได้อย่างน้อยในระดับพื้นฐาน และยังเป็นหนึ่งในหกภาษาราชการของสหประชาชาติ ผลกระทบหนึ่งของการเติบโตของภาษาอังกฤษ คือ การลดความหลากหลายทางภาษาพื้นเมืองในหลายส่วนของโลก อิทธิพลของภาษาอังกฤษยังมีบทบาทสำคัญในการลดจำนวนภาษา ในทางตรงข้าม ความหลากหลายภายในโดยธรรมชาติของภาษาอังกฤษ ร่วมกับภาษาผสม (creole) และภาษาแก้ขัด (pidgin) มีศักยะผลิตภาษาใหม่ที่แยกกันชัดเจนจากภาษาอังกฤษตามกาล